คุยกับลูกอย่างไร เรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 ข่าวการแพร่ระบาด การเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของคนทั่วไปในสังคมและสื่อมวลชนตลอดระยะเวลา หลายเดือนที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจและจำเป็นต้องติดตามอีกนาน จนกว่าจะมีการป้องกันและรักษาโรคที่ได้ผล
เด็กๆ เองย่อมจะได้ ยินได้รับรู้เรื่องนี้ทั้งจากข่าวที่นำเสนอและจากสังคมใกล้ตัวของเขา เช่น ที่โรงเรียน พ่อแม่ผู้ปกครองจะพูดคุยกับลูกอย่างไรดีท่ามกลางกระแสข่าวที่อาจดูน่าหวั่น กลัว ในภาวะการแพร่ระบาดของโรคเช่นนี้
ข่าวที่น่าหวั่นกลัว กับ สุขภาพจิตของเด็ก
เด็กจะมีความสุขได้ ถ้าหากกิจวัตรประจำวันสามารถดำเนินไปได้ตามปกติ เพราะกิจวัตรเป็นงานที่เด็กคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกสุขสบาย มั่นคง และปลอดภัย ในภาวะที่มีข่าวลือเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ผู้คนและสังคมมักเกิดความสับสนและไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัยและการปฏิบัติ ตัว การจำกัดหรือขีดวงให้เด็กอยู่แต่ในบ้านหรือจำกัดกิจกรรมทางสังคมกับเพื่อนใน ภาวะข่าวลือต่างๆ อาจยิ่งทำให้ครอบครัวตกอยู่ในภาวะตึงเครียด แต่การให้ข้อมูลที่เด็กจำเป็นต้องทราบและสอนให้รู้จักการป้องกันตัวที่เหมาะ สม จะช่วยทำให้ชีวิตของทั้งคุณและลูกดำเนินไปตามปกติ ช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและรู้สึกว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ได้
คุยกับเด็กอย่างไรดี
หาข้อมูลว่าเด็กรับรู้เรื่องนี้อย่างไรบ้าง คุณอาจจะลองคุยกับลูกว่า เขาได้รับรู้อะไรมาบ้าง การที่ให้ลูกได้บอกถึงสิ่งที่เขารู้ให้คุณฟัง แทนที่คุณจะเป็นฝ่ายพร่ำบอกเพียงผู้เดียว จะเป็นโอกาสที่ทำให้คุณได้ทราบถึงข้อมูลความเข้าใจผิดๆ ซึ่งคุณจะได้ช่วยแก้ไข
อธิบายข้อเท็จจริง เด็กๆอาจมีคำถามและข้อสงสัยอยู่มากมาย คุณพ่อคุณแม่ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ช่วยทำความเข้าใจให้กับเด็ก จะช่วยไม่ให้เด็กเกิดความสับสนและคลายความกังวลลงได้ การให้ข้อมูลควรพิจารณาให้เหมาะกับพัฒนาการตามวัย ใช้ถ้อยคำที่เด็กเข้าใจได้ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรสนใจติดตามข่าวสารของราชการที่เผยแพร่ความรู้ความ เข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค และการปฏิบัติตนในระยะต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ไม่วิตกกังวลหรือตื่นตระหนกจนเกินไป
คุยเรื่องการรักษาสุขอนามัย เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส คุณควรใช้การพูดคุยซักถามของเด็กเกี่ยวกับโรค ให้กลายเป็นโอกาสที่จะสอนและย้ำเตือนข้อปฏิบัติที่พึงกระทำเรื่องสุขอนามัย ซึ่ง ไม่เพียงช่วยป้องกันการแพร่ระบาดโรคในระยะนี้ แต่การมีสุขอนามัยที่ดี ยังช่วยป้องกันได้ทุกโรคอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรสอนเด็กให้ปฏิบัติในเรื่องง่ายๆ ดังต่อไปนี้
สอนเรื่องการล้างมือให้สะอาด และล้างมือให้ถูกวิธีด้วยสบู่และน้ำสะอาดประมาณ 20 วินาที ควรอธิบายให้เด็กทราบว่ามือเป็นอวัยวะที่สัมผัสสิ่งต่างๆ ทำให้อาจสัมผัสเชื้อโรคซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และเมื่อใช้มือไม่สะอาดสัมผัสตา จมูก ปากก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย หรือมีทางเลือกสำหรับการล้างมืออีกวิธี ด้วยการใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ ก็เป็นวิธีที่ได้ผล โดยเฉพาะในขณะเดินทางที่การล้างมือด้วยสบู่และน้ำทำได้ไม่สะดวก เช่น ระหว่างการเดินทาง หรืออยู่นอกบ้าน เป็นต้น
สอนเรื่องการใช้กระดาษเช็ดหน้าปิดปากและจมูกเมื่อจามและไอ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค การทิ้งกระดาษเช็ดหน้าที่ใช้แล้วในถังขยะ และล้างมือให้สะอาด คุณอาจพบว่าเด็กๆไม่ชอบพกพากระดาษเช็ดหน้า ถ้าเช่นนั้นก็อาจแนะวิธีที่ช่วยได้เฉพาะหน้า เช่นการจามและไอใส่ส่วนแขนเสื้อเหนือข้อศอก ก็ช่วยได้เมื่อจำเป็น อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยไม่ให้มือของเขาสกปรกและเชื้อโรคไม่แพร่กระจาย
สอนให้เด็กรู้จักระมัดระวังการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้มีอาการไม่สบาย รวมทั้งหากเขามีอาการไม่สบายก็ไม่ควรคลุกคลีกับผู้อื่น และระมัดระวังการอยู่ในที่ชุมนุมชนที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ร้านเกมส์ โรงภาพยนต์
สอนเด็กให้รู้จักใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งจะช่วยทำให้เขาแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น รับประทานอาหารสะอาด และมีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ช้อนและแก้วน้ำดื่ม รวมทั้งออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง
การสอนที่ได้ผลควรใช้หลักการสอนอย่างนุ่มนวล แสดงให้เห็นถึงความห่วงใย ไม่ควรใช้การพร่ำพูด บ่นว่า เพราะอาจทำให้เด็กอยากต่อต้าน และควรใช้เทคนิคให้เหมาะกับวัยของเด็ก ในเด็กเล็ก เด็กวัยประถม อาจใช้การสอนผ่านการเตือนในกิจวัตรที่เด็กทำ เล่าเรื่อง เล่าผ่านนิทาน การ์ตูนที่เด็กชอบ ส่วนเด็กโตและวัยรุ่นจะมีความคิดความเข้าใจใกล้เคียงผู้ใหญ่ อาจใช้การคุยกันผ่านข่าวสารที่ได้ยินได้ฟังมา และแนะนำแหล่งที่เขาจะหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงอยู่เสมอ ก็คือการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กในเรื่องการใส่ใจดูแลสุขภาพ และการรักษาสุขอนามัยที่ดี เพราะการปฏิบัติตนอย่างถูกวิธีและสอดคล้องอยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นเสมือนการฝึกระเบียบวินัยให้กับลูก ที่จะช่วยทำให้คุณพ่อคุณแม่วางใจว่าลูกจะดูแลตนเองได้ ไม่ว่าลูกจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ใดก็ตาม
ข้อมูลจาก :
http://www.vcharkarn.com/varticle/40542