วางแผนให้ลูกเรียนดีและมีความสุข เมื่อถึงวัยลูกเข้าโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงเป็นห่วงในเรื่องการเรียนของลูกว่าเขาจะเรียนได้ไหม ลูกจะมีปัญหาในการเรียนหรือเปล่า ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ไม่ยากค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่วางแผนการเรียนให้ลูกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งการวางแผนที่ดีควรมีการวางแผนทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโรงเรียน การเลือกหลักสูตร การสร้างสิ่งแวดล้อมและการเตรียมพร้อมอื่นๆ ให้แก่ลูกรัก เพื่อวางแผนให้ลูกรักเรียนได้ดีและมีความสุข เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า คุณพ่อคุณแม่จะช่วยวางแผนการเรียนให้ลูกได้อย่างไรบ้าง
เลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างรอบคอบ หากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยหาโรงเรียนให้ลูกหลายครั้ง การมองหาโรงเรียนที่มีทั้งชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ เพราะคุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่เรียนให้ลูกในระดับชั้นต่อไปอีก แถมลูกจะได้ไม่เหนื่อยกับการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ดังนั้นก่อนเลือกโรงเรียนสักแห่ง คุณพ่อคุณแม่อาจตรวจสอบโรงเรียนให้รอบคอบดังนี้ค่ะ สอบถามคุณครูหรือผู้รู้ว่า การเลื่อนชั้นของโรงเรียน (จากประถมศึกษาสู่ชั้นมัธยม) โรงเรียนมีเกณฑ์การพิจารณาให้เลื่อนชั้นอย่างไรบ้าง เช่น การสอบแข่งขัน การเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ การพิจารณาตามความประพฤติและผลการเรียน เป็นต้น ถ้าหากโรงเรียนพิจารณาการเลื่อนชั้นจากการสอบแข่งขัน คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่า โรงเรียนมีนโยบายที่จะรับนักเรียนเก่าของโรงเรียนหรือไม่ เช่น มีโควต้าการสอบแข่งขันให้แก่นักเรียนที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียน (ในชั้นประถม) เป็นพิเศษหรือเปล่า หากโรงเรียนมีนโยบายการเลื่อนชั้นโดยพิจารณาจากผลการเรียนและความประพฤติ ควรทราบว่า โรงเรียนมีมาตรฐานของผลการเรียนที่เกรดเท่าใด หรือว่าพฤติกรรมแบบไหนที่โรงเรียนอาจไม่รับพิจารณาการเลื่อนชั้น เพื่อว่าคุณแม่จะได้หาทางป้องกันแก้ไข และเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ
หลักสูตรการเรียนที่ดี เป็นตัวบ่งชี้อนาคต ตอนนี้ภาษาอังกฤษจัดว่ามีความสำคัญมาก ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี และไม่ติดขัดในเรื่องค่าใช้จ่าย การเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ ซึ่งในประเทศไทยก็มีโรงเรียนนานาชาติหลายแห่งที่ได้มาตรฐานและเด็กที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษจะสามารถหัดพูด อ่านเขียน ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก่อนที่จะเลือกโรงเรียนนานาชาติสักแห่งนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมพิจารณาดังนี้ค่ะ โรงเรียนมีจำนวนครูที่มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษกี่คน เพราะถ้าครูส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย อาจทำให้ครูมีหลายสำเนียง จนพลอยทำให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่พูดหลายสำเนียงตามไปด้วย
โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนต่างชาติในโรงเรียนเยอะไหม ไม่ใช่ว่าทั้งโรงเรียนมีแต่นักเรียนไทยเยอะแยะไปหมด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลูกของคุณพ่อคุณแม่คงจะไม่ค่อยได้ฝึกภาษาเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านใดไม่สามารถส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลเพราะตอนนี้มีโรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งที่ให้ความสำคัญในเรื่องการสอนภาษาอังกฤษด้วยครูที่เชี่ยวชาญในการสอนภาษา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็อาจส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเหล่านี้แทนได้ค่ะ
วิธีการเลือกโรงเรียนก็ไม่ยาก ลองทำตามนี้ดูสิคะ
โรงเรียนต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน มีการพัฒนาหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นแนวทางเดียวกัน การสอนและหลักสูตรต้องสอดคล้องกันค่ะ เด็กนักเรียนจะได้ไม่สับสน ดูวุฒิการศึกษาของครูที่สอนภาษาอังกฤษก่อนว่าอยู่ในระดับไหน มีทักษะในการสอนภาษาหรือเปล่า เพราะหากไม่มีทักษะในการสอนภาษา ก็ไม่สามารถสอนนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สัดส่วนระหว่างครูและจำนวนเด็กต้องเหมาะสม ไม่ใช่ว่าครู 1 คน ต้องมาสอนเด็กถึงเกือบ 60 คน นี่มันก็มากเกินไปค่ะ เพราะถึงแม้ครูจะแก่งแค่ไหน แต่ต้องมาดูแลสอนเด็กถึงหลายสิบคนก็อาจไม่ไหว แต่ถ้าครูมีวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ สามารถสอนให้เด็กเข้าใจได้อย่างทั่วถึง ก็อาจพิจารณาให้ผ่านได้ค่ะ ซึ่งมันก็ต้องพิจารณาควบคู่กันไป
อุปกรณ์การเรียนการสอนต้องพร้อมค่ะ เช่น มีมุมหนังสือภาษาอังกฤษให้นักเรียนอ่าน มีวิทยุเทปการสอนภาษาอังกฤษ มีสื่อคอมพิวเตอร์ มีห้องแล็บภาษา เพื่อว่านักเรียนจะได้มีโอกาสฝึกฝนภาษาจากอุปกรณ์การเรียนนี้ได้ หรือโรงเรียนควรมีกิจกรรมเกี่ยวกับภาษาอังกฤษให้นักเรียนได้ทำในเวลาว่าง
สร้างวินัยให้ลูกรัก การสร้างวินัยในการเรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณพ่อคุณแม่รู้จักวางระเบียบวินัยให้แก่ลูกจะช่วยให้ลูกใฝ่รู้และการเรียนของลูกจะมีระเบียบวินัยมากขึ้น เรามาดูกันดีกว่าว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้ลูกของคุณมีวินัยในการเรียนรู้มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยจัดตารางเวลาในการเรียนให้ลูก เช่น กำหนดว่าอนุญาตให้ลูกเล่นได้เมื่อใด เวลาใดเป็นเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือ หรือ อาจกำหนดว่าการบ้านเสร็จแล้วถึงเล่นได้ เป็นต้น เพื่อเด็กจะได้รู้ถึงความสำคัญของหน้าที่และเวลา ว่าตอนไหนควรทำอะไร หน้าที่ของเขาคืออะไร
สอนให้ลูกรู้จักจัดตารางเรียนไปโรงเรียน โดยเริ่มแรกคุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีกางตารางเรียนให้ลูกดู แล้วสอนให้เขาจัดเตรียมหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ ตามที่ตารางเรียนกำหนดไว้ เมื่อลูกเริ่มเป็นแล้ว หลังจากนั้นก็ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกในการเตรียมตารางเรียนด้วยตนเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลอยู่ห่างๆ เพื่อฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบด้วยตัวเอง
สอนให้ลูกรับผิดชอบการบ้าน โดยคุณพ่อคุณแม่ควรตอบสอบว่าลูกทำการบ้านไปส่งครูอย่างครบถ้วนหรือไม่ ถ้าลูกบอกว่าไม่มีการบ้านบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีขอร้องให้ครูช่วยจดบันทึกการบ้านในแต่ละวัน เพื่อแจ้งให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ จะได้คอยดูแลลูกได้ถูก จัดเวลาเข้านอน และตื่นนอนให้เป็นเวลา เพื่อว่าลูกจะได้ไม่ตื่นไปโรงเรียนสาย และเคยชินเป็นนิสัย
สิ่งเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังวินัยให้แก่ลูกตั้งแต่เด็กๆ นะคะ เพื่อว่าเด็กจะได้หัดมีความรับผิดชอบในเรื่องการเรียนด้วยตนเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมก็คือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นภาระที่จะทำ แต่ควรหาวิธีให้เด็กรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกสนานมากกว่า เช่น อาจให้รางวัลเมื่อลูกทำการบ้านเสร็จตามเวลา หรือ สอนการบ้านให้ลูกโดยใช้เกมส์ปริศนา จะช่วยให้ลูกสนุกกับการเรียนหนังสือมากขึ้นค่ะ สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การที่ลูกจะเรียนได้ดีนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ดังนั้นเพื่อเป็นการวางแผนการเรียนให้ลูกอย่างเหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ให้แก่ลูก ถ้าคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ลองทำตามนี้ดูค่ะ
การมีสิ่งแวดล้อมที่ดีในบ้านจะช่วยให้เด็กเกิดการใฝ่รู้และกระตือรือร้นที่จะอ่านหนังสือค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจัดให้มีห้องอ่านหนังสือหรือมุมสำหรับทำการบ้านให้ลูก
ครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข จะทำให้เด็กมีกำลังใจในการเรียนหนังสือมากขึ้น ดังนั้นเพื่อสานความสัมพันธ์ภายในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างเอาใจใส่และไม่กดดันลูก ซึ่งอาจทำได้โดยสอนการบ้านให้ลูก หรือใช้เวลาในวันหยุดไปท่องเที่ยวแหล่งความรู้ด้วยกัน เช่น พิพิธภัณฑ์ หอสมุดแห่งชาติ
การที่ครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย มีความสนุกในการเรียน และเรียนหนังสืออย่างตั้งใจ คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมว่า เด็กที่เรียนเก่งส่วนใหญ่นั้นมีคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนให้เขาทำสิ่งที่เขารัก คุณพ่อคุณแม่จึงควรเปิดโอกาสให้ลูกทำในสิ่งที่เขาสนใจบ้างนะคะ เพื่อว่าเด็กจะได้ค้นพบสิ่งที่เขารักด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพที่เขาสนใจได้ เพราะปิดกั้นโอกาสของลูกจะทำให้เด็กเบื่อหน่ายในการเรียนหนังสือ เพราะไม่มีแรงจูงใจ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
เนื่องจากเด็กไม่รู้ว่าชอบอะไร ถนัดอะไร ดังนั้นจงรักในสิ่งที่เขาเป็น ให้ลูกเติบโตในสิ่งที่เขารัก เด็กจะเติบโตอย่างมีคุณภาพและรู้จักคิดด้วยตัวเองค่ะ
ประโยชน์ของการอ่านจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเด็กให้กว้างไกล ส่งผลให้เด็กใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา มีสมาธิดีในการเรียน และมีความจำที่ดี ด้วยการปลูกฝังให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน โดยพาลูกไปร้านหนังสือด้วยบ่อยๆ ให้เขาเลือกอ่านหนังสือที่เขาชอบและสนใจ ซึ่งพอเขาอ่านสนุกก็จะติดใจและอยากจะอ่านหนังสือเรื่องอื่นอีก หรือพาเขาไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ชักชวนให้เขาเป็นสมาชิกของห้องสมุด พาลูกไปห้องสมุดบ่อยๆ เด็กจะได้คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากๆ หรือพออยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็ควรอ่านหนังสือเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น
การเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกมีค่ามากกว่าพูดกับลูกเป็นร้อยคำค่ะ เมื่อลูกเรียนดี คุณพ่อคุณแม่ควรเอ่ยปากชมให้กำลังใจลูก หรือให้รางวัลกับลูกเล็กๆ น้อยๆ บ้างนะคะ เพื่อว่าลูกจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เขามีกำลังใจในการเรียนหนังสือและมีความมั่นใจในตัวเอง
สำหรับเด็กที่เกเร ไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือ ก็ควรพูดจาตักเตือนกับลูกดีๆ อย่าให้อารมณ์กับลูก เพราะเด็กจะรู้สึกกดดันและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน วิธีแก้ไขก็คือ คุณแม่ต้องใช้เหตุผลในการพูดจากับลูก ชี้ให้เขาเห็นคุณค่าของการศึกษา และอาจมีบทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถ้าลูกไม่ยอมทำการบ้าน คุณพ่อคุณแม่จะตัดค่าขนมลูก หากลูกเรียนแล้วได้เกรดไม่ดี คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรโกรธหรือลงโทษเด็กแรงๆ นะคะ
การแสดงออกต่อผลการเรียนของลูก คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงถึงความรู้สึกของเด็กให้มากๆ ไม่ใช่นึกถึงแต่ความรู้สึกของคุณฝ่ายเดียว คุณพ่อคุณแม่ควรจำไว้ว่าคะแนนเป็นของลูกไม่ใช่ของคุณ ซึ่งควรพิจารณาที่ความตั้งใจเรียนของลูกมากกว่าคะแนนเกรดเฉลี่ยที่ออกมา หากเห็นว่าลูกตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ควรชื่นชม ให้กำลังใจลูก และช่วยปรึกษาหาทางแก้ไขกันจะดีกว่าค่ะ
ปัญหาเกรดตกอาจแก้ไขได้โดยให้ลูกเรียนพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรหาคุณครูมาสอนพิเศษหรือให้ลูกไปเรียนในโรงเรียนที่สอนพิเศษ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ก็คือ การเรียนพิเศษคือ การเรียนเพิ่มพูนความรู้ ไม่ใช่การยัดเยียดความรู้ให้เด็ก ดังนั้นเวลาที่เรียนควรเหมาะสม ต้องไม่มากเกินไปจนเด็กเรียนไม่ไหว หรือน้อยเกินไปจนเด็กเรียนไม่รู้เรื่องค่ะ
การวางแผนการเรียนให้ลูกเป็นสิ่งที่ดี หากคุณพ่อคุณแม่มีการวางแผนอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ลูกรักมีพื้นฐานการเรียนที่ดี มีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในการเรียนอย่างเป็นสุข นอกจากนี้แล้ว การที่เปิดโอกาสให้ลูกได้รู้จักดูแลตัวเองและสามารถเติบโตในสิ่งที่เขาอยากเป็น เด็กจะใฝ่รู้และมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสืออย่างตั้งใจ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลลูกอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ใช่การกำกับ มีการชี้แนะแนวทางให้ลูกอย่างเหมาะสม แล้วลูกรักของคุณจะเป็นเด็กที่ทั้งเรียนดีและมีคุณภาพค่ะ
[ ที่มา...นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ]
ข้อมูลจาก :
http://www.sudrak.com