พ่อแม่ควรทำอย่างไร เมื่อลูกรักเพศเดียวกัน คงจะมีบ่อยครั้ง ที่คุณพ่อคุณแม่ไปไหน ๆ แล้ว ได้พบเห็นกริยาใกล้ชิดสนิทสนมที่ผู้หญิง 2 คนมีต่อกันเป็นพิเศษ เช่น เดินจูงมือ โอบไหล่ มองตาเง้างอน อาจจะเป็นู่สาวผมสั้น-ผมยาว หรือ ผมยาว-ผมยาว หรือ ผมสั้น-ผมสั้น ก็แล้วแต่ คุณพ่อคุณแม่มีความรู้สึกอย่างไรบ้างคะ ?
เฉย ๆ ใช่ไหม ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรือว่ารู้สึก "ขัดหูขัดตา" คิดอยู่ในใจว่า "ลูกเต้าใครนะ" เลี้ยงดูยังไงถึงปล่อยให้รักชอบ เพศเดียว กันแบบนี้
แต่ถ้า 1 ใน 2 คนนั้น เป็นลูกหลานในครอบครัวตนเอง ความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่จะ เปลี่ยนไปทันทีใช่มั๊ยคะ
จะมีปฏิกริยาเหล่านี้ตามมาใช่หรือเปล่า??
- วิตกกังวล ไม่สบายใจ เฝ้าคิดว่าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงลูกได้อย่างไร
- สั่งห้ามให้ลูกเลิกคบเพื่อนคนนั้น
- อยากพาลูกไปหาจิตแพทย์
- โกรธลูกที่ทำตัวเสื่อมเสีย
- ห่วงใยในอนาคตของลูกยิ่งกว่าครั้งใด
- พยายามหาต้นตอของคนหรือ "สิ่ง" ที่ทำให้ลูกเป็นแบบนั้น
- ลงโทษลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ
- โทษตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ฯลฯ
รู้มั๊ยคะว่า วิธีการแสดงออกหรือการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ สร้างแรงกดดันให้กับลูกหลานของเรา มากเพียงใด
แน่นอนว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องการเห็นลูกเป็นทุกข์ เจ็บปวด แต่บางครั้ง "อคติและ ความเข้าใจผิด" ที่เรามี อยู่ก็ทำให้สิ่งที่ไม่ควรจะเป็น "ปัญหา" กลายเป็นปัญหาขึ้นมาจริง ๆ และอาจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
จนวันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่อาจพบว่า ตัวเองกับลูกกลาย เป็นคน แปลกหน้าต่อกันไปเสียแล้ว!
กลุ่มอัญจรีจึงเสาะหาข้อมูลและคำแนะนำที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์มาฝากแก่คุณพ่อคุณแม่ค่ะ ด้วยความหวังว่า ความรักและความเข้าใจที่พ่อ แม่ ลูก มีต่อกันจะนำพาสิ่งดี ๆ มาให้ครอบครัว และสังคมของเราตลอดไป
6 ข้อ สำหรับพ่อแม่ เมื่อลูกรักเพศเดียวกัน
1. เริ่มต้นที่ความเข้าใจทำความเข้าใจก่อนว่า การที่คนทั่วไปในสังคม (รวมทั้งเราด้วย) มีความรู้สึกด้านลบกับ คนที่รักเพศเดียวกันเพราะขาดข้อมูลที่ถูกต้อง มีความเชื่อผิด ๆ ว่าการรักเพศเดียวกันเป็นบาป เป็นโรคติดต่อ
เป็นความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งในปัจจุบัน นี้ก็มีผลสรุปออกมาแล้วว่าการรักเพศเดียวกันนั้น เป็นพียงทางเลือกหนึ่ง ในการดำเนินชีวิตที่ทุก ๆ คนควรได้รับสิทธินี้ ควรขจัดอคติที่ว่าคนรักเพศเดียวกันนั้นเป็นปัญหาสังคม เพราะแท้จริง แล้ว แรงกดดันจากสังคมต่างหากที่สร้างแรงกระทบและก่อปัญหาแก่คนรักเพศเดียวกัน
อย่าลืมว่าแม้แต่ในประกาศรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตรา 26 ก็ระบุเอาไว้ว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง"
2. ถามตัวเองให้ชัดเจนว่า... ลองถามตัวเองสักครั้งว่า ความรักที่เรามีต่อลูกของเรานั้น ต้องมีการ จำกัดเงื่อนไข ด้วยหรือ พ่อแม่หลายคนเคยพูดว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม ลูกก็คือลูก คือสิ่งมีค่าในชีวิต แม้ลูกบางคนจะเคย ทำความผิดร้ายแรงเช่นก่อคดีฆาตกรรม เกี่ยวข้อง กับยาเสพติด พ่อแม่ก็ยังรัก ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือ เมื่อลูกเสียใจสำนึกผิด
แล้วในกรณีที่ลูกเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใคร ความรังเกียจเหยียด หยามที่ผู้อื่น มีต่อลูกของเราเป็นสิ่งที่เกิดจากอคติ อุปาทาน ทำไมเราจึง ต้องสร้างแรงกดดันให้แก่ลูกของเราอีกด้วย
3. หาคำตอบเรื่องความคาดหวัง ถามตัวเองอีกข้อว่า ที่เราโกรธลูก ไม่พอใจความ ประพฤติของลูกเพราะเรา ต้องการให้ลูกเป็น ไปตามความคาดหวังของเราใช่หรือไม่ ลองทบทวนย้อนหลัง ว่าเรา คาดหวังอะไรกับลูกบ้าง เราเคยถูกคนอื่นเช่นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ ของเราคาดหวังมาก่อนหรือไม่
ลองนำความรู้สึกของเราเปรียบเทียบกับ ความรู้สึกของลูก เพื่อหาคำตอบว่า ความคาดหวังนั้น ๆ ก่อให้เกิดผลดี ทุกอย่างจริงหรือ?
4. เลิกตั้งมาตรฐานกับลูก เลิกคิด เลิกเข้าใจผิดว่า คนรักเพศเดียวกันนั้นคือ พฤติกรรมการ แสดงออกที่ไม่ เหมาะสมเสมอไป การที่ลูกของเรามีบุคลิกภาพที่แตกต่างจากเพศเดียวกันคนอื่น ๆ เช่น ไว้ผมทรงเดียวกับผู้ชาย ชอบนุ่งกางเกงดูเข้มแข็งกว่าผู้หญิงทั่วไป ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่า ลูกของเราเป็นคนประหลาด ผิดปกติ นั่นเป็นเพียง รสนิยมและความชอบบางอย่างของเขาเท่านั้น
นอกจากนั้น คนที่รักเพศเดียวกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงรักผู้หญิง ผู้ชายรักผู้ชาย อาจไม่ได้ มีบุคลิกภาพ แสดงถึงความเป็น ทอม-ดี้-ตุ๊ด-แต๋ว อย่างที่สังคมเรียกขานตลอดเวลา
มีคนรักต่าง เพศอีกมากมายที่มีบุคลิกภายนอกแตกต่างจากเพศเดียวกันกับตน เช่น ผู้หญิงจำนวน มาก ที่ชอบไว้ ผมสั้น แต่กายทะมัดทะแมง มีท่าทางห้าวหาญ ฯลฯ เพราะฉะนั้น อย่าใช้ภาพลักษณ์ ภายนอกมากำหนด มาตรฐาน และตัดสินลูกของเรา ตราบใดที่เขารู้จักกาละเทศะ มั่นใจใน ตนเองประพฤติตนเป็น คนดีของสังคม
เช่นเดียวกับเราเองที่มั่นใจในเอกลักษณ์และตัวตนของเรา อย่าลืมว่าความแตกต่างหลากหลายเป็นสิ่งปกติบน โลกใบนี้
5. อย่าดูถูกว่าการรักเพศเดียวกันเป็นแต่เรื่องบนเตียง เซ็กส์ หรือกามารมณ์ เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญอย่างหนึ่งใน ชีวิตก็จริง แต่ไม่ว่าจะรักเพศเดียวกันหรือรักต่างเพศ กามารมณ์ก็ไม่ใช่ "เรื่องเดียว" ในชีวิตลูกของเราก็เหมือน คนทั่วไป ต้องเรียนหนังสือ ทำงาน ประกอบอาชีพ ทำงานอดิเรก ฯลฯ
ไม่ควรมองว่าคนรักเพศเดียวกันคือคนที่ถือเรื่องเพศเป็นใหญ่ อย่าลงความ เห็นว่าการที่ลูกมีเพศสัมพันธ์ กับเพศเดียวกันเป็นเรื่อง "ผิดหรือบาป" เพศสัมพันธ์ในวัย และโอกาส ที่เหมาะสมเป็นเรื่องธรรมชาติ
6. หลีกเลี่ยงการกล่าวโทษตัวเองอย่าคิด หรือลงโทษตัวเองว่า การที่ลูกรักเพศเดียวกัน นั้นเป็น ความผิดของเรา
ทุกครอบครัวสามารถมีลูกที่รักเพศเดียวกันได้เสมอ การรักเพศเดียวกันก็เหมือนกับการรักต่างเพศ สามารถเกิดขึ้น กับใคร ที่ไหนก็ได้
มีรายงานมากมาย กล่าวถึงคนรักเพศเดียว กันที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีคนรักเพศเดียวกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก และไม่มีงานวิจัยใดบ่งบอก สาเหตุแน่ชัดว่า คนรักเพศเดียวกันเพราะอะไร
สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การพยายามหาสาเหตุของการรักเพศเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่า เราควรรักลูก เข้าใจลูก และปฏิบัติอย่างไรต่อลูกของเรามากกว่าค่ะ
ข้อมูลจาก :
http://www.vcharkarn.com