ลงทะเบียนเข้างาน
Mobile number
e-mail
บทความ
แบ่งปัน
การบริหารความสุขภายในบ้าน
การบริหารความสุขภายในบ้าน ในครอบครัวที่มี สมาชิกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ตั้งแต่สามี ภรรยา และลูกๆ หลานๆ ที่คลานตามกันออกมานั้น 

การบริหารจัดการให้คนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของครอบครัว นั้นๆ เพราะคนหลายๆ คนที่อยู่ปะปนร่วมกันปีแล้วปีเล่าตราบนานเท่านาน ย่อมยากที่จะบริหารจัดการให้มีความสุขร้อยเปอร์เซ็นต์ 

ส่วนจะกระเด็นหายไปสักกี่เปอร์เซ็นต์ย่อมเป็นความสามารถของผู้บริหารที่จะ จัดการได้ดีแค่ไหน 

บางคนใจอยากบริหารให้ได้ดี แต่เมื่อไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ก็ย่อมกะเกณฑ์บริหารตามอำเภอใจ ทำให้บรรลุเป้าหมายได้ยาก 


วันนี้เลยอยากจะฝากแนวทาง ของการบริหารจัดการให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 

ในชีวิตของคนเรานั้น หนีไม่พ้นที่จะวนเวียนเคลื่อนไหวอยู่ 3 อย่าง คือ คิด พูด และ ทำ 

โดยทั่วไปคนเรามักจะคิดเป็นหลัก หรืออาจกล่าวได้ว่าใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา 

แม้แต่เวลาที่หลายคนบอกว่า ปล่อยวางตามสบายไม่ได้คิดอะไรนั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ได้ทันทีว่าเรายัง คิดโน่นคิดนี่อยู่เหมือนเดิม 

คนเราจึงใช้เวลากับการคิดมากที่สุด 

รองลงมาจากการคิดก็คือ พูด 

เมื่อคิดโน่นคิดนี่มากมายก่ายกองแล้ว ก็ อดที่จะถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ 

คนเราจึงมักพูดในสิ่งที่ตนเองคิดหรือพูดจากความคิดของคนอื่นที่ตนได้ฟังได้อ่านมาอยู่บ่อยๆ ที่คนเราเคลื่อนไหวน้อยกว่าพูดและคิด ก็คือ ทำ 

คนทั่วไปจึงมักจะคิดพัน แต่พูดแค่ร้อย และทำเพียงสิบ 

แต่ไม่ว่าจะคิด พูดและทำ มากน้อยแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าการคิด พูดและทำ ของคนเรามีส่วน ช่วยทำให้เกิดความสุขได้หรือไม่ 

การหันมาพิจารณาถึงแนวทางการบริหารจัดการให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ควรเน้นกันทุกบ้าน 

ขอเริ่ม ที่แนวทางแรก คือ เมื่อจะคิด พูด ทำ อะไร ต้องถามตัวเองตลอดเวลาว่า เป็นความจริงหรือไม่ 

เพราะถ้าคนเราอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะ เป็นสามี ภรรยา หรือพ่อแม่ลูก ถ้าไม่เอาความจริง มาคิดพูดและทำต่อกัน 

ไม่ช้าไม่นาน บ้านนั้นก็จะมีแต่ความทุกข์ 

มีแต่ความจริงเท่านั้นที่จะรังสรรค์ ให้ความ สัมพันธ์ในครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนยืนอยู่บนแพรไหม 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ต้องให้ "ความจริง" เป็นหลักในการคิด พูด และทำอยู่ตลอดเวลา 


แนวทางที่สอง คือ เมื่อจะคิด พูด และทำอะไร ต้องถามตัวเองว่า เป็นความเที่ยงธรรมแก่ทุกๆ คนในบ้านของเราหรือไม่ 

คนเราจะอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่ายากดีมีจน ขึ้นอยู่กับว่าอยู่กันบนความเที่ยงธรรมหรือเปล่า 

ถ้าต่างคนต่างก็เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน วันที่บ้านแตกต้องมาถึงแน่นอน 

ความเที่ยงธรรมจึงเป็นเครื่องค้ำยัน ให้ความสัมพันธ์ของกันและกันมั่นคงตรงไปตรงมา 
ตามประสาคนอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้เป็นอย่างดี 
ลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า กรณีที่ลูกหลานทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น มักเกิดจากการที่ไม่มีความเที่ยงธรรมภายในบ้าน 

บ้านไหนไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกันก็ยึดแนวทางนี้ไว้ให้ดี 


แนวทางที่สาม คือ เมื่อจะคิด พูด และทำอะไร ต้องถามตัวเองว่า จะก่อให้เกิดไมตรี มีมิตรภาพต่อกันหรือไม่ 

คนบางคนสักแต่ว่าคิด พูด ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดย ไม่คำนึงถึงข้อนี้ ทำให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจได้ง่าย 

จิตใจเมื่อถูกกระทบแล้วก็เหมือนแก้วที่ร้าวจะเอากาวมาทายังไงก็ไม่เหมือนของเดิม 

จึงควรเริ่มระมัดระวังตั้งแต่ต้น จะคิดจะพูด จะทำอะไรให้คำนึงถึงไมตรีจิต มิตรภาพของภายในบ้านเป็นเรื่องสำคัญ 

คนบางคนคิดถึงแต่ไมตรีจิต มิตรภาพกับคนนอกบ้าน จนลืมคนในบ้าน คิดง่ายๆ ว่าคนในบ้านของตาย ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว จะคิดจะพูดจะทำยังไงต่อกันก็ได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแน่นอน ต้องย้อนมาดูคนในบ้านด้วยจะช่วยให้ภายในบ้านมีสุขแน่นอน 


แนวทางที่สี่ หนีไม่พ้นที่จะต้องถามตัวเองว่า สิ่งที่เราจะคิด พูด ทำ 
จะเกิดผลดีแก่สมาชิกในครอบครัวเราหรือไม่ 

อะไรที่คิดแล้ว พูดแล้ว ทำแล้ว มันไม่เกิดผลดี ลองไตร่ตรองดูทีว่า จะขมีขมันขยันทำไปทำไม 

บางคนสักแต่ว่าจะคิดจะพูดจะทำ แต่ไม่คำนึงถึงว่าจะเกิดผลดีแก่คนในครอบครัวหรือไม่ พอเกิดผลร้ายออกมาก็ได้แต่ต่อว่าตัวเองว่า ไม่น่าเล้ย 

แต่ก็ สายเกินไปเสียแล้วเพราะผลเสียได้เกิดขึ้นแล้ว 

ทั้งสี่แนวทางที่ยกมา ถ้านำไปบริหารจัดการกันอย่างจริงจังกันภายในครอบครัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าความทุกข์จะมาหา 
จะมีแต่ห้วงเวลาแห่งความสุขมาเยือนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์แน่นอน 

ข้อมูลจาก : http://www.weddingmind.com
เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
5 สิ่งที่่พ่อแม่อาจเผลอ Bully ลูก
5 สิ่งที่่พ่อแม่อาจเผลอ Bully ลูก
4 โมเมนต์พิเศษที่คุณแม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อบ้าง
4 โมเมนต์พิเศษที่คุณแม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อบ้าง