ลงทะเบียนเข้างาน
Mobile number
e-mail
Sponsors
view all
Banner
view all
Article
Share
Brainfitnessเทคนิคฟิตสมอง

Brainfitness เทคนิคฟิตสมอง Brainfitness เป็นโรงยิมของสมองที่จะเตรียมความพร้อมและเพิ่มสมรรถนะให้สมอง โดยมีหลักการ 3 ประการด้วยกันคือ

1.ทำให้ร่างกายมีความสมดุลและมีการเคลื่อนไหวอย่างสมดุล

2.ทำให้สมองมีความกระตือรือร้นและทำงานได้ดี

3.ทำให้จิตใจ อารมณ์เบิกบาน ผ่อนคลาย 

และโรงยิมของสมองนี้ก็มีอุปกรณ์สำคัญอยู่ 10 อย่างด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ได้แก่ 

1.อาหารสมองช่วยสร้างพลังงานให้สมอง เด็กๆ ต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน โดยเรียงจากปริมาณที่ต้องการมากที่สุดคือกลุ่มธัญพืช รองลงมาคือผักผลไม้ โปรตีน 
และอื่นๆ ต้องกินทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าสำคัญมาก และไม่ควรกินก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูป ฟาสต์ฟู้ด ลดปริมาณเกลือ ไขมัน โดยเฉพาะ
น้ำตาลที่ทำให้เด็กมีพลังงานมากจนไม่อยู่นิ่ง ขาดสมาธิ 

2.ออกซิเจน ให้ชีวิตแก่เซลล์สมอง สมองที่มีออกซิเจนมากเพียงพอจะทำให้มีสารเคมีที่ทำให้เครียดลดน้อยลง ทำได้โดยการหายใจที่ถูกต้อง หายใจลึกๆ ให้ทั่วปอด 
หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ รวมทั้งการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย หัวเราะ ร้องเพลงและพูดคุย ก็เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้
สมองได้ดีอีกด้วย 

3. น้ำเปล่า มีส่วนสำคัญในการส่งข้อมูลในสมอง ถ้าเราไม่ได้ดื่มน้ำแค่ครึ่งชั่วโมง สมองก็ขาดน้ำแล้ว เพราะทำให้ก้านสมองหด เซลล์สมองส่งข้อความถึงกัน
ไม่ราบรื่น อาจทำให้รู้สึกสับสน และเหตุผลที่น้ำเปล่าดีต่อสมองก็เพราะดูดซึมสู่สมองได้ทันที ถ้าเครื่องดื่มอื่นๆ ร่างกายจะคิดว่าเป็นอาหาร แล้วส่งไป
ย่อยก่อนถึงจะดูดซึมไปที่สมอง ควรปลูกฝังให้เด็กรู้ว่าน้ำเปล่าเป็นน้ำผลไม้ของสมอง (Brainjuice) ดังนั้นในห้องเรียนหือโต๊ะทำการบ้าน
ควรมีน้ำไว้ดื่มได้สะดวก 

4. การผ่อนคลาย เริ่มจากการนอนหลับเพียงพอ ตอนหลับร่างกายพักแต่สมองตื่น สมองจะสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ ระหว่าง 2 ซีก สมองจะแยกประเภทและเก็บประสบการณ์
ที่ได้ในแต่ละวัน โดยที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งประสบการณ์ที่เรารู้สึกกับมันมากๆ จะจำได้ง่าย ดังนั้นถ้านอนไม่พอ สมองยังจัดระบบไม่เรียบร้อย จึงตื่น
มางงๆ เบลอๆ นอกจากนี้ยังผ่อนคลายได้ด้วยการเคลื่อนไหวในท่าบริหารสมอง (Brain Gym) ฟังเพลงจังหวะเบาๆ ช้าๆ ออกกำลังกายเบาๆ การพูดคุย 
ร้องเพลง ยิ้ม นั่งสมาธิ การเรียนรู้จากภาพ และการพักช่วงสั้นๆ ระหว่างการทำกิจกรรม 

5. ความสมดุลของร่างกายและสมอง อาจลองให้เด็กๆ ถือห่วงฮูลาฮูบขึ้น-ลง และไปข้างหน้าเพื่อฝึกการทรงตัวหรือฝึกไขว้ร่างกายในท่าต่างๆ การหายใจที่ถูกต้อง บุคลิกท่าทางที่เหมาะสม 
ใช้เพลงจังหวะเบาๆ มาประกอบการทำกิจกรรม ลดพฤติกรรมที่นำไปสู่ความเครียด 

6. รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับเด็กแต่ละคน คนแต่ละคนมีสมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นเด็กๆ แต่ละคนจึงตอบรับรูปแบบการเรียนการสอนที่ต่างกันไป ซึ่งที่จริงกระบวนการเข้าถึง
การเรียนรู้มีหลากหลายวิธี ทั้งการเรียนรู้ผ่านการเห็น การฟัง การเคลื่อนไหว การเรียนแบบ เป็นขั้นตอน เรียนแบบองค์รวม และเรียนผ่าน
กระบวนการทางสังคม ซึ่งในห้องเรียนควรเลือกใช้ให้หลากหลายที่สุด 

7. การสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้เด็กๆ มีเป้าหมายในการเรียนรู้ ได้คิด ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง 

8. ความเป็นตัวของตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวเอง การรู้จักควบคุมตัวเอง มีวินัย มั่นใจในตัวเอง และมีความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่ทำ เป็นพื้นฐานให้เด็กมีความกระตือรือร้น
อยากเรียนรู้ 

9. ผิดเป็นครู เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด 

10. การสร้างทัศนคติในเชิงบวก คิด ใช้ภาษาท่าทางและการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ จะช่วยให้สมองของเด็กจดจำแต่สิ่งที่ดีๆ และงดงาม ฝึกให้เด็กมองว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ 

หากใช้อุปกรณ์ Brainfitness ทั้ง 10 ประการอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สมองของเด็กเรียนรู้ได้ดีมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้คุณคริสตีนย้ำอย่างเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติในเงื่อนไขที่เหมาะสม ทั้งเงื่อนไขภายใน คือ Brainfitness ที่กล่าวมา และเงื่อนไขภายนอก (Brainfriendly) ซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก ที่เราสามารถจัดการให้เป็นมิตรกับสมองของเขาได้ 

อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตคนเมืองซึ่งเต็มไปด้วยมลภาวะทั้งทางด้านเสียง ลดทอนประสิทธิภาพการฟัง ทำให้เกิดความเครียด อารมณ์สับสน มลภาวะทางอากาศ ที่แม้หายใจถูกวิธีแต่ก็รับควันพิษเข้าไป หรือจากแสงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น คลื่นแสงกะพริบๆ จากจอทีวี คอมพิวเตอร์ แสงไฟนีออน สามารถทำลายเซลล์สมองได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ลดความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กๆ ทั้งสิ้น จึงควรหลีกเลี่ยง 

ข้อมูลจาก : http://www.momchannel.com
Article Other
อาหารต้องห้ามสำหรับเด็กอายุก่อนหนึ่งขวบ
อาหารต้องห้ามสำหรับเด็กอายุก่อนหนึ่งขวบ
5 สิ่งที่่พ่อแม่อาจเผลอ Bully ลูก
5 สิ่งที่่พ่อแม่อาจเผลอ Bully ลูก
4 โมเมนต์พิเศษที่คุณแม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อบ้าง
4 โมเมนต์พิเศษที่คุณแม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อบ้าง
Sponsors
view all
Banner
view all